สาเหตุสำคัญของการชะล้างพังทลายของดินมี 2 ประการ คือ
การชะล้างพังทลายของดิน เป็นการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกที่มองเห็นได้ชัดเจน เช่น ดินบริเวณตลิ่งที่ถูกแม่น้ำลำธารกัดเซาะ การเลื่อนไหลของดินบริเวณภูมิประเทศที่มีความลาดชัน แผ่นดินถล่ม การยุบตัวของดิน เป็นต้น
การชะล้างพังทลายของดิน เป็นการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกที่มองเห็นได้ชัดเจน เช่น ดินบริเวณตลิ่งที่ถูกแม่น้ำลำธารกัดเซาะ การเลื่อนไหลของดินบริเวณภูมิประเทศที่มีความลาดชัน แผ่นดินถล่ม การยุบตัวของดิน เป็นต้น
สาเหตุสำคัญของการชะล้างพังทลายของดิน มี 2 ประการ ดังนี้
1. การชะล้างพังทลายของดินที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น การกัดชะด้วยฝนหรือลม เนื่องจากการขาดพืชคลุมดิน การกัดเซาะของกระแสน้ำ การพังของตลิ่งอันเนื่องมาจากการกัดเซาะของน้ำและแรงโน้มถ่วงของโลก การชะล้างพังทลายจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ ความลาดเอียงของพื้นดิน ลมฟ้าอากาศ ลักษณะของเนื้อดิน ดินในบริเวณพื้นที่ลาดเอียงจะถูกกัดเซาะได้เร็ว เพราะกระแสน้ำจะมีความแรงดินในบริเวณที่มีฝนตกหนักจะถูกกัดเซาะไปได้มาก ส่วนดินในบริเวณพื้นที่แห้งแล้งจะถูกกระแสลมพัดพาไปได้ง่าย ดินแต่ละชนิดจะมีลักษณะต่างกันจึงถูกชะล้างพังทลายได้ยากง่ายต่างกัน เช่นดินทรายจะถูกพัดพาไปโดยลมได้ง่าย เป็นต้น
1. การชะล้างพังทลายของดินที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น การกัดชะด้วยฝนหรือลม เนื่องจากการขาดพืชคลุมดิน การกัดเซาะของกระแสน้ำ การพังของตลิ่งอันเนื่องมาจากการกัดเซาะของน้ำและแรงโน้มถ่วงของโลก การชะล้างพังทลายจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ ความลาดเอียงของพื้นดิน ลมฟ้าอากาศ ลักษณะของเนื้อดิน ดินในบริเวณพื้นที่ลาดเอียงจะถูกกัดเซาะได้เร็ว เพราะกระแสน้ำจะมีความแรงดินในบริเวณที่มีฝนตกหนักจะถูกกัดเซาะไปได้มาก ส่วนดินในบริเวณพื้นที่แห้งแล้งจะถูกกระแสลมพัดพาไปได้ง่าย ดินแต่ละชนิดจะมีลักษณะต่างกันจึงถูกชะล้างพังทลายได้ยากง่ายต่างกัน เช่นดินทรายจะถูกพัดพาไปโดยลมได้ง่าย เป็นต้น
2. การชะล้างพังทลายของดินที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ เช่น การระเบิดภูเขา การสร้างถนน การตัดไม้ทำลายป่า การทำไร่เลื่อยลอย การทำเหมืองแร่ เป็นต้น
ผลเสียที่เกิดขึ้นจากการชะล้างพังทลายของดินไม่ว่าจะเป็นสาเหตุจากธรรมชาติ หรือ จากการกระทำของมนุษย์ มีมากมาย เช่น ดินชั้นบนซึ่งมีแร่ธาตุอยู่มากจะถูกทำลายไป ซึ่งมีผลกระทบต่อการเพาะปลูก และอย่างเป็นเหตุทำให้อ่างเก็บน้ำตื้นเขิน บ่อน้ำและแหล่งน้ำตื้นเขิน เกิดความแห้งแล้งเกิดอุทกภัย เกิดสันดอนซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการคมนาคมทางน้ำ เป็นต้น
พัฒนาดินเพื่อให้มีคุณภาพดีมีความอุดมสมบูรณ์ตลอดไป
สามารถกระทำได้โดยวิธีการดังนี้ 1. การปลูกพืชคลุมดิน เป็นการป้องกันการชะของน้ำฝนพาเอาหน้าดินซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์ไปที่อื่น
พืชที่ปลูกคลุมดินควรเป็นพืชที่แผ่กิ่งก้านและใบไปตามผิวดินได้ดี และราตื้นพืชคลุมดินจะช่วยลดอัตราการชะล้าง
พังทลาย ของหน้าดินได้ดี
2. การใช้วัสดุธรรมชาติคลุมดิน ในช่วงเวลาที่หยุดพักการปลูกพืชไม่ควรปล่อยให้ดินว่างเปล่าควรหา
วัสดุมาคลุมดินไว้ วัสดุที่เหมาะสำหรับคลุมดินคือ หญ้าและฟาง นอกจากจะเป็นการป้องกันการชะล้างพังทลายของหน้าดิน แล้วดินยังช่วยรักษาความชื้นของดินและยังสลายกลายเป็นปุ๋ยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดินอีกด้วย
วัสดุมาคลุมดินไว้ วัสดุที่เหมาะสำหรับคลุมดินคือ หญ้าและฟาง นอกจากจะเป็นการป้องกันการชะล้างพังทลายของหน้าดิน แล้วดินยังช่วยรักษาความชื้นของดินและยังสลายกลายเป็นปุ๋ยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดินอีกด้วย
3. การปลูกพืชหมุนเวียน เป็นการปลูกพืชสลับชนิดกันในพืชที่เดียวกัน เช่น การปลูกถั่วสลับกับพืชที่เราต้องการผลผลิต ซึ่งนอกจากจะช่วยป้องกันพังทลายของดินแล้วยังเป็นการเพิ่มรายได้และยังช่วยบำรุงดินให้อุดมสมบูรณ์ด้วย
4. การปลูกพืชแซม เป้นการปลูกพืชที่ให้ผลผลิตในพืชที่ว่างระหว่างแถวของพืชหลักในพืชที่ที่ปลูกหลัก เป็นการป้องกันไม่ให้พื้นที่ว่างนั้นพังทลายลงและ ป้องการเจริญชองวัชพืชได้อีกด้วย
4. การปลูกพืชแซม เป้นการปลูกพืชที่ให้ผลผลิตในพืชที่ว่างระหว่างแถวของพืชหลักในพืชที่ที่ปลูกหลัก เป็นการป้องกันไม่ให้พื้นที่ว่างนั้นพังทลายลงและ ป้องการเจริญชองวัชพืชได้อีกด้วย
5. การปลุกพืชตามแนวระดับ เป็นวิธีการไถพรวน หว่าน ปลูกและเกี่ยวพืชขนานไปตามแนวระดับเดียวกัน ขวางความลาดเอียงของพืชที่ เป็นวิธีที่ช่วย อนุรักษ์ดินที่มีลักษณะเป็นเนิน หรือไหล่เขาได้วิธีหนึ่ง
6. การปลูกพืชแบบชั้นบันได เป็นวิธีสำหรับการอนุรักษ์ดินที่มีลักษณะเป็นเนิน หรือไหล่เขาทำได้โดยสร้างคันดินหรือแนวหินขวาง ความลาดเอียงของพื้นที่ แล้วปลูกบนชั้นบันได
7. การเติมปุ๋ย การเติมปุ๋ยจะช่วยให้ดินอุดมสมบูรณ์อยู่เสมอ ปุ๋ยที่ใช้อาจจะเป็นปุ๋ยเคมี หรือปุ๋ยอินทรีย์ก็ได้
8. การปลูกป่า ป่าไม้จะช่วยป้องกันการชะล้างพังทลายของหน้าดินได้เป็นอย่างดี เพราะป่าไม้จะช่วยชะลอการไหลของน้ำ ทำให้น้ำซึมเข้าสู่ดินได้มากขึ้น และหน้าดินไม่พังทลาย และยังช่วยให้ฝนตกตามฤดูกาล ไม่เกิดความแห้งแล้งแก่ดิน ไม่เกิดน้ำท่วม ฯลฯ



ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น